tag:blogger.com,1999:blog-40669969789040302632024-03-12T18:03:23.617-07:00MakeBlogAdsenseMakeBlogAdsense.blogspot.com วิธีการ เทคนิก แนวทางสมัคร Adsense ผ่านNPK789http://www.blogger.com/profile/03329455792305345731noreply@blogger.comBlogger2125tag:blogger.com,1999:blog-4066996978904030263.post-36982068432520237772017-05-16T00:06:00.004-07:002017-05-16T00:08:27.984-07:00กล้วย ผลไม้ที่รายดี แบบกล้วยๆ<span style="background-color: white;"><span style="font-family: "tahoma"; font-size: 16px; font-weight: bold;">การปลูกและการดูแลกล้วย</span></span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://kanchanapisek.or.th/kp6/pictures30/l30-185a.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://kanchanapisek.or.th/kp6/pictures30/l30-185a.jpg" height="320" width="257" /></a></div>
<span style="background-color: white;"><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><span style="font-family: "tahoma"; font-size: 16px;">กล้วยเป็นพืชที่ชอบอากาศร้อนชื้น ซึ่งเหมาะกับการปลูกในประเทศไทย ถ้าหากอุณหภูมิต่ำกว่า ๑๔ องศาเซลเซียส กล้วยจะชะงักการเจริญเติบโต หรือมีการเติบโตช้าลง รวมทั้งการออกดอกและติดผลจะช้าด้วย อนึ่ง กล้วยเป็นพืชที่มีแผ่นใบใหญ่ ดังนั้นจึงไม่ค่อยทนต่อแรงลม เพราะใบจะต้านลม ทำให้ใบแตกได้ ถ้าหากใบแตกมากจนเป็น ฝอย จะทำให้มีการสังเคราะห์อาหารได้น้อย ต้นไม่เจริญเท่าที่ควร ดังนั้นถ้าพื้นที่ที่มีลมแรงมาก ควรปลูกต้นไม้อื่นทำเป็นแนวกันลมให้ต้นกล้วย</span></span><br />
<a name='more'></a><span style="background-color: white;"><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><span style="font-family: "tahoma"; font-size: 16px;">ดินที่เหมาะสำหรับการปลูกกล้วยคือ ดินตะกอนธารน้ำที่ชาวบ้านเรียกว่า </span><span style="color: #660000; font-family: "tahoma"; font-size: 16px; font-weight: bold;">"ดินน้ำไหลทรายมูล"</span><span style="font-family: "tahoma"; font-size: 16px;"> ซึ่งเป็นดินร่วนที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีการระบายน้ำ และการหมุนเวียนอากาศดี ถ้าดินเป็นดินเหนียว ควรใส่ปุ๋ยคอก จะทำให้ดินร่วนโปร่งขึ้น</span></span><br />
<span style="background-color: white;"><br /></span>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://kanchanapisek.or.th/kp6/pictures30/l30-185c.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://kanchanapisek.or.th/kp6/pictures30/l30-185c.jpg" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<span style="background-color: white;"><span style="color: #993300; font-family: "tahoma"; font-size: 16px; font-weight: bold;">ระยะปลูก</span><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><span style="font-family: "tahoma"; font-size: 16px;">กล้วยเป็นพืชที่มีใบยาว หากปลูกในระยะใกล้กันมาก อาจทำให้ใบเกยกัน หรือซ้อนกัน ทำให้ได้รับแสงแดดไม่เพียงพอ และดูแลลำบาก การกำหนดระยะปลูกจึงควรคำนึงถึงเรื่องแสงแดด ความอุดมสมบูรณ์ของดิน และความต้องการของผู้ปลูกว่าต้องการปลูกกล้วยเพื่อเก็บเกี่ยวกี่ครั้ง หากต้องการเก็บเกี่ยวเพียงครั้งเดียวก็อาจปลูกถี่ได้ แต่ถ้าต้องการเก็บเกี่ยวหลายๆ ครั้ง ต้องปลูกให้ห่างกัน เพื่อมีพื้นที่สำหรับการแตกหน่อ</span><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><span style="color: #993300; font-family: "tahoma"; font-size: 16px; font-weight: bold;">การปลูก</span><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><span style="font-family: "tahoma"; font-size: 16px;">ขุดหลุมให้มีขนาดความ กว้าง ๕๐ เซนติเมตร ลึก ๕๐ เซนติเมตร นำดินที่ขุดได้กองตากไว้ ๕ - ๗ วัน หลังจากนั้นเอาดินชั้นบนที่ตากไว้ลงไปก้นหลุม ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวแล้ว ให้สูงขึ้นมาประมาณ ๒๐ เซนติเมตร คลุกเคล้าปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักกับดินชั้นบนที่ใส่ลงไป แล้วจึงเอาหน่อกล้วยที่เตรียมไว้ วางที่ตรงกลางหลุม เอาดินล่างกลบ รดน้ำ และกดดินให้แน่น ยอดของหน่อควรสูงกว่าระดับดินประมาณ ๑๐ เซนติเมตร ควรหันรอยแผลของหน่อให้อยู่ในทิศทางเดียวกัน เพราะเมื่อโตเต็มที่และติดผล ผลจะเกิดในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับรอยแผล และอยู่ในทิศทางเดียวกัน เพื่อสะดวกในการทำงาน แต่หากเป็นต้นที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ จะไม่มีทิศทางของรอยแผล ในการวางต้นจึงจำเป็นต้องมีทิศทาง</span><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><span style="font-family: "tahoma"; font-size: 16px;">ถ้าหากพื้นที่นั้นเป็นดินเหนียว ควรทำการยกร่อง จะได้ระบายน้ำ และปลูกบนสันร่องทั้ง ๒ ข้าง และเพื่อให้การปฏิบัติงานทำได้ง่าย ควรวางหน่อให้กล้วยออกเครือไปทางกลางร่อง</span><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><span style="color: #993300; font-family: "tahoma"; font-size: 16px; font-weight: bold;">การกำจัดหน่อ</span><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><span style="font-family: "tahoma"; font-size: 16px;">เมื่อต้นกล้วยมีอายุได้ ๔ - ๖ เดือน จะเริ่มมีการแตกหน่อ หน่อที่เกิดมาเรียกว่า หน่อตาม (follower) กล้วยบางพันธุ์ที่มีหน่อมาก ควรเอาหน่อออกบ้าง เพื่อมิให้หน่อแย่งอาหารจากต้นแม่ ควรเก็บหน่อไว้ ๑ - ๒ หน่อ เพื่อให้เป็นตัวพยุงต้นแม่เมื่อมีลมแรง และเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตในปีต่อไป วิธีการกำจัดหน่ออาจใช้เสียมที่คมหรือมีดแซะลงไป หรือใช้มีดตัดหรือคว้านหน่อที่อยู่เหนือดิน แล้วใช้น้ำมันก๊าด หรือสารกำจัดวัชพืชหยอดที่บริเวณจุดเจริญ เพื่อไม่ให้มีการเจริญเป็นต้น แต่ไม่ควรแซะหน่อในระหว่างการออกดอก เพราะต้นอาจกระทบกระเทือนได้</span><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><span style="font-family: "tahoma"; font-size: 16px;">นอกจากการกำจัดหน่อแล้ว ควรตัดใบที่แห้งออก เพราะถ้าทิ้งไว้อาจเป็นแหล่ง สะสมโรค ใน ๑ ต้น ควรเก็บใบไว้ประมาณ ๗ - ๑๒ ใบ</span><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><span style="color: #993300; font-family: "tahoma"; font-size: 16px; font-weight: bold;">การให้ปุ๋ย</span><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><span style="font-family: "tahoma"; font-size: 16px;">กล้วยเป็นพืชที่ต้องการธาตุอาหารมาก การติดผลจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับอาหารและน้ำที่ได้รับ ดังนั้นควรบำรุงโดยใส่ปุ๋ย ทั้งปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก และปุ๋ยเคมี ตั้งแต่เริ่มปลูก ในระยะแรกควรให้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนมากในช่วง ๒ เดือนแรก โดยให้ปุ๋ยยูเรียเดือนละครั้ง และเดือนที่ ๓ และ ๔ ให้ปุ๋ยสูตร ๑๕ - ๑๕ - ๑๕ ต้นละ ๑/๒ กิโลกรัม ส่วนในเดือนที่ ๕ และ ๖ ให้ใส่ปุ๋ยสูตร ๑๓ - ๑๓ - ๒๑ ต้นละ ๑/๒ กิโลกรัม</span><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><span style="color: #993300; font-family: "tahoma"; font-size: 16px; font-weight: bold;">การค้ำยัน</span><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><span style="font-family: "tahoma"; font-size: 16px;">กล้วยบางพันธุ์มีผลดกมาก โดยมีจำนวนหวีมากและผลใหญ่ ต้นที่มีขนาดเล็ก หากไม่ค้ำไว้ ต้นอาจล้ม ทำให้เครือหักได้ เช่น กล้วยหอมทอง กล้วยไข่ จำเป็นต้องค้ำบริเวณโคนเครือกล้วยไว้ โดยใช้ไม้ไผ่หรือไม้อื่นที่มีง่าม</span><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><span style="color: #993300; font-family: "tahoma"; font-size: 16px; font-weight: bold;">การให้ผล</span><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><span style="font-family: "tahoma"; font-size: 16px;">กล้วยจะออกดอกเมื่ออายุต่างกันตามชนิดของกล้วย เช่น กล้วยไข่ เริ่มออกดอกเมื่ออายุประมาณ ๕ - ๖ เดือน และกล้วยหอมทองจะเริ่มออกดอกเมื่ออายุได้ประมาณ ๖ - ๗ เดือน ส่วนกล้วยน้ำว้า และกล้วยหักมุกใช้เวลานานกว่า และผลจะแก่ ในระยะเวลาที่ต่างกัน ดังแสดงในตารางที่ ๒</span><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><span style="color: #993300; font-family: "tahoma"; font-size: 16px; font-weight: bold;">การคลุมถุง</span><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><br style="font-family: tahoma; font-size: 16px;" /><span style="font-family: "tahoma"; font-size: 16px;">ถ้าหากปลูกกล้วยเพื่อการส่งออก ควรทำการคลุมถุง ถุงที่ใช้ควรเป็นถุงพลาสติกสีฟ้าขนาดใหญ่ และยาวกว่าเครือกล้วย เจาะรูเป็นระยะๆ และเปิดปากถุง ทำให้มีอากาศถ่ายเทได้ ถ้าหากไม่เจาะรูและปิดปากถุง อาจทำให้กล้วยเน่าได้</span></span>NPK789http://www.blogger.com/profile/03329455792305345731noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4066996978904030263.post-38888241529317953492017-05-16T00:02:00.004-07:002017-05-16T00:02:56.695-07:00เตือนผู้ปลูกพริก ระวังโรคระบาดหนัก<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://www.chiangmainews.co.th/page/wp-content/uploads/b.7-39.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="http://www.chiangmainews.co.th/page/wp-content/uploads/b.7-39.jpg" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<br />
ศูนย์บริหารศัตรูพืช กรมส่งเสริมการเกษตร แจ้งเตือนเกษตรกรที่ปลูกพริกระวังการระบาด<br />ของโรคแอนแทรกโนส เนื่องจากช่วงนี้สภาพแวดล้อมเหมาะสมกับการระบาดของโรค <br />ให้เกษตรกรหมั่นสำรวจแปลงและปฏิบัติตามคำแนะนำ ก่อนที่จะระบาดทำความเสียหายต่อผลผลิต สำหรับอาการของโรคผลพริกจะมีแผลเป็นรูปไข่หรือวงกลมสีน้ำตาลแผลจะขยายกว้างออกไปไม่จำกัดขนาดทำให้ผลเน่า ระบาดมากในฤดูฝน เพราะสภาพความชื้น เอื้อต่อการเกิดโรคพืช
การป้องกันกำจัด ทำลายส่วนที่เป็นโรค โดยการนำไปเผาทิ้งไม่ใช้เมล็ดพันธุ์ที่เป็นโรคมาปลูก ในแหล่งที่มีการระบาดทุกฤดูการปลูก ควรปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อตัดวงจรการระบาด หลีกเลี่ยงการปลูกในแหล่งที่เคยเป็นโรค และก่อนปลูกแช่เมล็ดในน้ำอุ่น 49 องศาเซลเซียส นาน 20 นาที เพื่อฆ่าเชื้อที่ติดมากับเมล็ด
เมื่อสำรวจพบอาการของโรคแอนแทรกโนส ในแปลงปลูกพริกนั้น แนะนำว่าเกษตรกรชาวสวนควรพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชเป็นระยะๆ ด้วยสารที่มีประสิทธิภาพ เช่น เบนโนมิล คาร์เบนดาซม แมนโคเซบ คอลโรทาโลนิลใช้สารเคมีจำพวกมาเน็บไซเน็บ ไซแรม เคปแทน แอนทราโคล ไดโฟลาแทน วามีนเอส-เดอโรซาน หรือเบนเลท อัตราส่วนตามที่กำหนดทุก 5 ถึง 15 วัน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ในการพ่นสารเคมีสารกำจัดศัตรูพืช ควรระวังป้องกันสุขภาพด้วย โดยสวมใส่หน้ากาก อุปกรณ์ ป้องกันละอองจากสารเคมี เนื่องจากอาจส่งผลต่อสุขภาพร่างกายได้ หากสูดดมนานๆ หรือละอองยาเข้านัยน์ตาNPK789http://www.blogger.com/profile/03329455792305345731noreply@blogger.com0